วันอังคารที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2554

การเปลี่ยนแปลงของภาษา

การเปลี่ยนแปลงคำ
            ในสมัยสุโขทัยใช้ว่า ตูปัจจุบันใช้ว่า เราเช่น
            ตูพี่น้องท้องเดียวห้าคน ผู้ชายสาม ผู้หญิงโสง
            คำว่า ตูนี้ ในสมัยสุโขทัยเป็นสรรพนามบุรุษที่ 1 พหูพจน์ หมายถึง เราซึ่งเป็นฝ่ายผู้พูดไม่รวมผู้ฟังแต่ในสมัยปัจจุบัน คำว่า เราหมายถึง คำใช้แทนชื่อคนหลายคนซึ่งรวมทั้งผู้พูดด้วย
            ในสมัยสุโขทัย พระมหากษัตริย์ทรงใช้สรรพนามบุรุษที่ 1 ว่า กูแต่ปัจจุบันทรงใช้ว่า ข้าพเจ้าเช่น
            พ่อกูชื่อศรีอินทราทิตย์ แม่กูชื่อนางเสือง
            ในสมัยก่อนคำที่หมายถึง คนรักใช้ว่า ชิ้นแต่ในปัจจุบันใช้ว่า แฟน

การเปลี่ยนแปลงประโยค
            ในสมัยสุโขทัยใช้ว่า พี่กูตายจึงได้เมืองแก่กูทังกลมประโยคนี้อาจะเขียนใหม่ตามลักษณะประโยคปัจจุบันได้ว่า พี่ข้าพเจ้าตาย ข้าพเจ้าจึงได้เมืองทั้งหมด
            จากตัวอย่างข้างต้นจะเห็นได้ว่า การแปรของภาษาในด้านเสียง คำ และประโยคนั้นไม่มีผลทางด้านความหมายมากนัก แต่จะเกี่ยวข้องกับสถานการณ์ที่ใช้มากกว่าอย่างอื่น ส่วนเรื่องการเปลี่ยนแปลงที่เกี่ยวข้องกับความหมายมากที่สุดคือการเปลี่ยนแปลงในด้านคำ

การแปรเสียง

            คำซึ่งใช้สื่อสารกันอยู่ในชีวิตประจำวันนั้นในทางสัทศาสตร์าอาจจะมีการแปรเสียงได้หลายแบบ ดังนี้
) การแปรเสียงแบบกลมกลืนเสียง (assimilation)
                        การแปรเสียงแบบนี้หมายถึงการเปลี่ยนแปลงเสียงลักษณะหนึ่งที่เกิดขึ้นกับเสียงที่อยู่ใกล้กัน โดยเสียงหนึ่งมีอิทธิพลต่ออีกเสียงหนึ่ง โดยทั่วไปเกิดขึ้นที่ช่วงต่อระหว่างพยางค์ เช่น อย่างไร กลายเป็น ยังไง
            การกลมกลืนเสียงในทำนองนี้ยังปรากฏในคำไทยอื่นๆ อีกหลายคำ เช่น
            ก้นโค้ง              กลายเป็น           ก้งโค้ง
            กุ้งก้ามคราม        กลายเป็น           กุ้มก้ามกราม
            คนไร                กลายเป็น           ใคร
            ถ้วยชามรามไห   กลายเป็น           ถ้วยชามรามไหม
            ทำไร                 กลายเป็น           ทำไม
            บังโคลน            กลายเป็น           บังโกลน
            พรุ่กนี้               กลายเป็น           พรุ่งนี้
            ฝ่ายเดียว            กลายเป็น           ถ่ายเดียว
            วันยันค่ำ            กลายเป็น           วันยังค่ำ
            สิบเอ็ด               กลายเป็น           สิบเบ็ด
            หนไร                กลายเป็น           ไหน
            หรือไม่              กลายเป็น           ไหม
            อกตรม              กลายเป็น           อกกรม
            อันคั่นคู่             กลายเป็น           อังคั่นคู่
            อิ่มปี้พีมัน           กลายเป็น           อิ่มหมีพีมัน

) การแปรเสียงแบบผลักเสียง (dissimilation)
            การแปรเสียงแบบนี้เป็นลักษณะที่ตรงข้ามกับการกลมกลืนเสียง คือการทำให้เสียงที่เหมือนกับแตกต่างกัน เช่น
            คำแหง              กลายเป็น           กำแหง
            คุมเหง               กลายเป็น           กุมเหง
            ทั้งนี้เพราะเสียง [] ในพยางค์ที่สองผลักเสียง [] ในพยางค์แรกให้หายไป
            พยัญชนะอย่าง ข ค ฉ ช ถ ท ผ พ มีเสียง ห ผสมอยู่ด้วย จึงเรียกว่า พยัญชนะเสียงหนัก พยัญชนะเหล่านี้แตกต่างจากพยัญชนะอย่าง ก จ ต ป ตรงที่ว่า พยัญชนะกลุ่มหลังนี้เวลาออกเสียงไม่ต้องหายใจแรงๆ อย่างพวกแรก ถือว่าเป็นพยัญชนะเสียงเบา หรือกล่าวอีกอย่างหนึ่งก็คือ ข ค คือ ก + ห ฉ ช คือ จ +   ถ ท คือ ต + ห และ ผ พ คือ ป + ห เมื่อการออกเสียงพยัญชนะเสียงหนักดังกล่าวต้องหายใจแรง บางทีการออกเสียงจึงฟังไม่ชัดเจน โดยเฉพาะเมื่อพูดตามสบายเป็นต้นว่า
            การออกเสียงพยัญชนะเสียงหนักเป็นเสียงเบา
                        ชมพู                 ออกเสียงเป็น      จมพู
                        ชมพู่                 ออกเสียงเป็น      จมพู่
                        ข่มเหง               ออกเสียงเป็น      กุมเหง
                        คุมฝอย              ออกเสียงเป็น      กุมฝอย
            ออกเสียงแต่ ห พยัญชนะเสียงเบาหายไป
            ครับ                  ออกเสียงเป็น      ฮะ
            ที่กลับกันก็มีคือ
                        กี่                      ออกเสียงเป็น      ขี่
                        กบฎ                  ออกเสียงเป็น      ขบถ
                        ชักกะเย่อ           ออกเสียงเป็น      ชักคะเย่อ
                        กระยาสารท       ออกเสียงเป็น      คยาสาด

) การแปรเสียงแบบลดหน่วยเสียง (haplology)
            การแปรเสียงแบบนี้เกิดจากการตัดเสียงพยัญชนะหรือสระบางเสียงออกไปหรือนำเสียงอื่นเข้ามาแทนที่ เมื่อไม่เน้นเสียงพยางค์นั้น เช่น
            คำว่า film จากภาษาอังกฤษ เมื่อมาสู่มาภาษาไทย คนไทยออกเสียง [lm] ควบกันไม่ได้จึงทำเสียง [อิ] ให้ยาวขึ้น กลายเป็น [อี] ออกเสียงเป็น [ฟีม]
            ฉันนั้น              ออกเสียงเป็น      ฉะนั้น
            ต้นไคร้              ออกเสียงเป็น      ตะไคร้
            ตัวขาบ               ออกเสียงเป็น      ตะขาบ
            ยับยับ                ออกเสียงเป็น      ยะยับ
            ยายกับตา           ออกเสียงเป็น      ยายกะตา
            รื่นรื่น                ออกเสียงเป็น      ระรื่น
            สายดือ               ออกเสียงเป็น      สะดือ
            หมากขาม           ออกเสียงเป็น      มะขาม
            อันไร                ออกเสียงเป็น      อะไร
            อีกประการหนึ่ง  ออกเสียงเป็น      อนึ่ง

) การแปรเสียงแบบเพิ่มหน่วยเสียง (addition of phonemes)
            การแปรเสียงแบบนี้เกิดจากการนิยมความไพเราะในการออกเสียงคำสามพยางค์จากภาษาบาลีสันสกฤต ซึ่งแพร่มาถึงคำในภาษาไทยด้วย คำสองพยางค์จึงกลายเป็นสามพยางค์ โดยการนำเอาเสียงสะกดในพยางค์แรกเป็นเสียงพยัญชนะต้นตามด้วย [อะ] เป็นพยางค์ที่สองเติมเข้าไป เช่น
            ซังตาย               ออกเสียงเป็น      ซังกะตาย
            สักเดี๋ยว             ออกเสียงเป็น      สักกะเดี๋ยว
            ตกใจ                 ออกเสียงเป็น      ตกกะใจ หรือต๊กกะใจ
            นกยาง               ออกเสียงเป็น      นกกะยาง
            นัยนี้                  ออกเสียงเป็น      นัยยะนี้
            บาดจิต               ออกเสียงเป็น      บาดทะจิต
            บานโรค                        ออกเสียงเป็น      บานทะโรค
            ยมบาล               ออกเสียงเป็น      ยมพบาล
            สักนิด               ออกเสียงเป็น      สักกะนิด
            สักหน่อย           ออกเสียงเป็น      สักกะหน่อย
            หกล้ม                ออกเสียงเป็น      หกกะล้ม

) การแปรเสียงแบบสับเสียง (meththesis)
            การแปรเสียงแบบนี้เกิดจากการสับที่ของหน่วยเสียงกับเสียงที่ตามมา เช่นตะกร้อ สับเสียง เป็น กระต้อ เครื่องมือดับไฟมีด้ามยาวเช่นเดียวกับตะกร้อสอยผลไม้ตะกรุด สับเสียงเป็น กระตรุด หรือ กะตุด มะละกอ สับเสียงเป็น ละมะกอ พูดแถบตำบลเกาะเกร็ดและบางส่วนของอำเภอปากเกร็ด นนทบุรี นุ่ม สับเสียงเป็น มุ่น พบในวรรณคดีไทย ขลา ในภาษาเขมร หมายถึง เสือสับเสียงเป็น ขาล หมายถึง ปีนักษัตรที่มีเสือเป็นเครื่องหมาย สาวสะ ใน แม่ศรีสาวสะ ก็น่าจะเป็นการสับเสียงจาก สะสาว ซึ่งเป็นการซ้ำคำ สาวสาว แล้วก่อนเป็น สะสาว

) การแปรเสียงแบบทำให้เป็นเสียงที่เพดานแข็ง (palatalization)
            การแปรเสียงแบบนี้เกิดจากการเปลี่ยนเสียงจากมีฐานที่ปุ่มเหงือกไปยังฐานที่เพดานแข็งในคำบางคำในภาษาไทย เช่น เชียว มาจาก ทีเดียว
            ขอให้สังเกตว่าคำว่า ทีเดียว นี้ บางครั้งก็กลายเป็น เทียว ในลักษณะกลมกลืนเสียง

) การแปรเสียงแบบเปลี่ยนเสียงสระภายในคำ (internal change)
            การแปรเสียงแบบนี้เกิดจากการเปลี่ยนแปลงภายในคำ ซึ่งเกิดขึ้นได้ทั้งการเปลี่ยนแปลงเสียงพยัญชนะและเสียงสระ เช่น
            ข้างนอก            ออกเสียงเป็น      หั้งนอก
            เข้ามาเถิด           ออกเสียงเป็น      ข้ามาเหอะ
            คึก                    ออกเสียงเป็น      ฮึก
            ทั้งสามกรณีเป็นการลดส่วนของเสียงพยัญชนะให้เหลือไว้แต่เสียงหนัก [] ในภาษาไทยนั้นเมื่อคำหรือพยางค์ใดไม่ออกเสียงเน้น เสียงของสระนั้นก็อาจจะเปลี่ยนเป็น [อะ] เช่น
            คุณจะไปไหม     ออกเสียงเป็น      คุณจะไปมะ
            ตั้งแต่เช้า            ออกเสียงเป็น      ตั้งตะเช้า
            เมื่อแต่กี้             ออกเสียงเป็น      เมื่อตะกี้

) การแปรงเสียงแบบเสียงเลื่อนรวม (fusion)
            การแปรเสียงแบบนี้เกิดจากการที่พยัญชนะสุดท้ายของคำหน้าเลื่อนรวมเข้ากับเสียง [] ของคำถัดไป เช่น หนวกหู กลายเป็น หนวกขู โดยที่ [] ซึ่งเป็นเสียงสุดท้ายของ หนวก รวมเข้ากับ [] ในคำว่า หู เกิดหน่วยเสียงใหม่ขึ้น นั่นคือ ค หรือ ข
            ขอให้สังเกตว่า หนวกขู อาจจะเปลี่ยนไปเป็น หนกขู เพราะการเปลี่ยนเสียงสระภายในคำดังกล่าวไว้ในข้อ ช) ก็ได้
            จากลักษณะการแปรเสียงที่กล่าวไว้ในข้อ ก) ถึง ซ) ทำให้อธิบายปรากฏการณ์ดังต่อไปนี้ได้ดังนี้
            ดิฉัน แปรเสียงเป็น ดิชั้น (เน้นพยางค์หลัง) และในที่สุดก็กลายเป็น เดี๊ยน เพราะการลดหน่วยเสียง โดยที่เสียง [] หายไป ทำให้สระจากพยางค์หน้าและพยางค์หลังรวมกันเป็นสระผสมในกรณีที่ ดิฉัน กลายเป็น ดั้น ไปนั้นก็เกิดจากการลดหน่วยเสียงเช่นกัน โดยที่สระหน้าหายไปพร้อมกับเสียง [] และกรณีที่ ดิฉัน กลายเป็น อะฮั้น นั้นก็เกิดจาการลดเสียงพยางค์หน้าลงเหลือ อะ และลดเสียงลมหายใจของพยางค์หลัง ฉัน หรือ ชั้น จึงกลายเป็น ฮั้น
            ครับ แปรเสียงเป็น คับ เนื่องจากไม่ออกเสียงควบกล้ำ จากนั้นลดเสียงลมหายใจออกไปจึงกลายเป็น ฮับ และลดเสียงตัวสะกดลงไปอีกจึงกลายเป็น ฮะ สำหรับคนบางกลุ่มอาจจะยืดเสียงให้ยาวขึ้น จึงกลายเป็น ฮ้า
            มหาวิทยาลัย ลดเสียงลงไปกลายเป็น มหาทลัย (4 พยางค์) หรือ มหาลัย (3 พยางค์) จนที่สุดกลายเป็น หมาลัย (2 พยางค์)
            โรงพยาบาล ลดเสียงลงไปกลายเป็น โรงพยาบาล (3 พยางค์)
            พิจารณา ลดเสียงลงไปกลายเป็น พิณา (2 พยางค์)

การเปลี่ยนแปลงคำ

                จากการแปรเสียงที่กล่าวไว้ข้างต้นนั้นจะเห็นไว้ คำที่ออกเสียงได้หลายอย่างนั้น บางคำก็ยังใช้ควบคู่กันอยู่ โดยขึ้นอยู่กับผู้พูด ผู้ฟัง และสถานการณ์การใช้ภาษา แต่บางคำก็ได้เปลี่ยนแปลงมาเป็นคำที่ใช้อยู่ในสมัยปัจจุบัน ส่วนคำเดิมก็กลายเป็นคำโบราณที่เลิกใช้แล้ว หรือคำสันนิษฐาน เช่น อิ่มปี้พีมัน กุ้มก้ามคราม ทำร วันยันค่ำ อันคั่นคู่ พรุ่กนี้ ก้นโค้ง คนไร หนไร ตัวขาบ สายดือ ต้นไคร้ หมากขาม อันไร เมื่อแต่กี้ ฯลฯ
            การแปรเสียงที่ทำให้เกิดคำใหม่ยังคงปรากฎอยู่ในปัจจุบันนี้ เช่น
            กระโปรง + กางเกง                     กลายเป็น           กระเปรง
            ขว้าง + เหวี่ยง                กลายเป็น           เขวี้ยง
            งง + เซ็ง                        กลายเป็น           เซ็ง
            ฉุย + ลุย                        กลายเป็น           ฉลุย
            เชียร์ + เลีย                     กลายเป็น           ชเลียร์ หรือ เชลียร์
            ซีเรียส + เครียด               กลายเป็น           ซีเครียด
            เดี๋ยว + พ่อ + เตะ            กลายเป็น           เดี๋ยวพ่อด
            นี่ + นะ                         กลายเป็น           เนี่ยะ
            นิ้ง + เฉียบ                     กลายเป็น           เนี้ยบ
            แม่ + มึง                        กลายเป็น           แม่ง
            นอกจากเรื่องการแปรเสียงที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเป็นคำใหม่แล้ว ในภาษาปัจจุบันยังมีการเปลี่ยนแปลงคำอยู่อีก 6 แบบ คือ การสร้างคำซ้อน การสร้างคำซ้ำ การสร้างคำประสม การนำคำมาใช้ในความหมายอื่น การบัญญัติศัพท์ และการสร้างคำใหม่

) การสร้างคำซ้อน
            คำซ้อน (บางทีเรียก คำคู่) คือคำที่มีคำเดี่ยว 2 คำ อันมีความหมายหรือเสียงคล้ายกันหรือเป็นไปในทำนองเดียวกัน ซ้อนเข้าคู่กัน เมื่อซ้อนแล้วจะมีความหมายใหม่เกิดขึ้น แม้ว่าบางคำความหมายจะไม่แปลกไปกว่าความหมายเดิม (คือความหมายของคำเดียวแต่ละคำ) มากนัก แต่ก็ต้องมีความหมายและที่ใช้ต่างออกไปบ้าง คำซ้อนแบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ คำซ้อนเพื่อความหมาย กับ คำซ้อนเพื่อเสียง เช่น
            คอเหนียง ใจคอ แก้มคาง หัวหู หูตา เนื้อตัว ผิดชอบ เท็จจริง ได้เสีย พี่น้อง ลูกหลาน เงียบเชียบ ดื้อดึง คล้ายคลึง พร้อมเพรียง แข็งแรง จัดจ้าน เคลือบแคลง ขัดข้อง เจ็บไข้ ทุบตี ฆ่าฟัน อยู่กิน อุ้มชู ค้ำจุน ดูดดื่ม อ่อนหวาน ทิ่มตำ ซากศพ รูปร่าง ถนนหนทาง ยกเลิก อิทธิฤทธิ์ สนุกสนาน จริงจัง ก้าวก่าย ยัดเยียด ชั่วช้า ฟุ่มเฟือย ฯลฯ
            เป็นที่น่าสังเกตว่า ผู้ใช้ภาษาจะสร้างคำซ้อนขึ้นมาโดยไม่สนใจว่าคำที่นำมาซ้อนกันนั้นเป็นภาษาเดียวกันหรือมีที่มาจากภาษาเดียวกันหรือไม่ คำซ้อนจึงมีทั้งไทย + ไทย  ไทย + บาลี  ไทย + สันสกฤต  บาลี + บาลี  บาลี + สันสกฤต  ไทย + เขมร  เขมร + เขมร  เขมร + บาลี ขอเพียงให้มีความหมายที่ใช้สื่อกันได้เท่านั้นก็เพียงพอแล้ว  ในปัจจุบันเราจึงมีคำซ้อนที่เกิดจาก ไทย + อังกฤษ และ อังกฤษ + อังกฤษ เช่น เด็กปั๊ม  เช็กบิล  แท็กซี่มีเตอร์ ฯลฯ โดยออกเสียงตามระบบเสียงของไทย และประกอบรูปขึ้นตามไวยากรณ์ไทยด้วย

) การสร้างคำซ้ำ
            คำซ้ำคือคำคำเดียวกันนำมากล่าว 2 ครั้ง มีความหมายเน้นหนักหรือบางทีต่างกันไปกับคำเดี่ยวเพียงคำเดียว จึงถือว่าเป็นคำสร้างใหม่ มีความหมายใหม่ทำนองเดียวกับคำซ้อน ต่างกันก็แต่เพียงคำซ้ำใช้คำคำเดียวกันซ้อนกันเท่านั้น และเพื่อให้รู้ว่าคำที่กล่าว 2 ครั้งนั้นเป็นคำซ้ำ ไม่ใช่คำเดี่ยวๆ เรียงกัน จึงต้องคิดเครื่องหมายกำกับไว้ ในภาษาไทยใช้ไม้ยมกแทนคำท้ายที่ซ้ำกับคำต้น
            เช่น
            คอนเสิร์ตแบบเบิร์ดเบิร์ด (เบิร์ดๆ)
            เด็กๆ เล่นอยู่ในสนาม
            นั่งในๆ
            ผิดๆ ถูกๆ ก็ไม่เป็นไร
            มะม่วงลูกเล็กๆ
            รถตุ๊กตุ๊ก (รถตุ๊กๆ)
            รูงูๆ ปลาๆ ทำอะไรไม่ได้

) การสร้างคำประสม
            คำประสมคือคำที่มีคำ 2 คำ หรือมากกว่านั้นมาประสมกันเข้าเป็นคำใหม่อีกคำหนึ่ง คำที่ประสมกันเข้าเป็นคำใหม่นี้ แต่ละคำไม่ได้มีความหมายคล้ายกันอย่างคำซ้อน ความหมายสำคัญอยู่ที่คำต้น ส่วนคำตามมาเป็นส่วนขยาย เจตนาในการสร้างคำประสมก็เป็นเช่นเดียวกับคำซ้อน คือให้ได้มีคำใหม่ใช้ในภาษา เช่น
            มดแดง รถเร็ว น้ำแข็ง ผ้าไหว้ ไม้เท้า โต๊ะกินข้าว เรือนต้นไม้ คนกลาง เมืองนอก เรียงเบอร์ พิมพ์ดีด สามล้อ กำลังกิน ข้างถนน หัวนอก หน้าม้า ใจเย็น ลูกกวาด แม่งาน แม่ทัพ ยิงปืน ขุดหลุม ตายใจ ออกตัว นอกคอก น้อยใจ อวดดี ตกลง คอแข็ง ฯลฯ
            คำใหม่พร้อมความหมายใหม่ประเภทนี้ก็ยังคงเกิดขึ้นในปัจจุบันอยู่เสมอ เช่น รถไฟฟ้าบีทีเอส แท็กซี่บุคคล รถโดยสารประจำทางปรับอากาศ รถตู้โดยสารปรับอากาศร่วมบริการ รถเอกชนร่วมบริการ ฯลฯ คำบางคำเคยมีใช้อยู่แล้ว แต่ผู้ใช้ภาษาสมัยใหม่ก็อาจจะสร้างคำอื่นขึ้นมาใช้คู่ไปด้วย เช่น นักชก (นักมวย) ท่านเปา (กรรมการ หรือผู้พิพากษา) ฯลฯ

) การนำคำมาใช้ในความหมายอื่น
            การนำคำมาใช้ในความหมายอื่นนี้ หมายถึงการนำคำที่เคยมีความหมายเป็นที่ยอมรับกันอยู่ในสังคมอยู่แล้วมาใช้ในความหมายใหม่ มีทั้งที่ใช้โดยเจตนาและโดยความไม่รู้ เช่น
            เขาเป็นบรมครูแห่งวงการเพลง
            ค่ายเพลงค่ายนี้มีศิลปินใหม่หลายตัว
            ท่านชวน  หลีกภัยเคยเป็นทั้งหัวหน้ารัฐบาลและหัวหน้าฝ่ายค้าน
            เข้าเป็นผู้กำกับที่มีฝีมือจัดจ้าน
            จรวดพร้อมที่จะลาโลกไปสู่ดวงจันทร์
            เข้าหาบ้านที่ชอบได้แล้ว เขาก็ไปที่ชอบ
            ของฝากชิ้นนี้ผมฝากไม่ได้หรอกครับ ต้องให้กับเจ้าตัว เพราะมันเป็นของลับ
            คุณยายตกอันต้องขายของเก่ากิน
            เศรษฐีบ้านนั้นติดเก้าอี้ไฟฟ้าสำหรับขึ้นบันไดสูง
            เกิดน้ำท่วมใหญ่ผู้คนต้องพากันขึ้นไปหลับนอนอยู่บนถนน
            นอกจากนี้แล้วในสังคมบางกลุ่ม เช่น กลุ่มวัยรุ่น ก็อาจจะมีการใช้คำในความหมายอื่นโดยเจตนา เช่น
            คนนี้เป๊ะเลย (คนนี้เป็นคนรักอย่างแน่นอน)
            คนนี้เป็นสต๊อกของฉัน (คนนี้เป็นเด็กๆ ในสังกัด หรือเป็นคนรักคนหนึ่งของฉัน)
            คนนี้อยู่ในโปรแล้ว (คนนี้คือเป้าหมายที่จะเกี้ยวพาราสี โปรมาจาก project)
            ฉันมีอยู่สองสามหน่วย (ฉันมีคนที่มาชอบอยู่สองสามคน)
            เรากิ๊กกันดี (เราเกี่ยวข้องกันเพียงแค่กินข้าวด้วยกัน แต่ยังไม่ได้เป็นคนรักกัน)
            อย่ามาดอยของฉันนะ (อย่ามาขโมยของฉันนะ)
            คำประเภทนี้หากผู้ใช้ภาษาในสังคมยอมรับก็จะกลายเป็นคำที่มีความหมายใหม่ แต่ถ้าสังคมยังไม่ยอมรบ ผู้ใช้ก็มากจะถูกตำหนิว่าใช้ภาษาผิดความหมายหรือใช้คำคะนอง

) การบัญญัติศัพท์
            การสร้างศัพท์ใช้ใหม่ในสังคมนั้น โดยทั่วไปเกิดจากการที่มีสิ่งใหม่หรือแนวความคิดใหม่ๆ เกิดขึ้นในสังคม จึงต้องมีคำใหม่ขึ้นใช้เรียกสิ่งนั้น สิ่งใหม่ที่ว่านั้นอาจจะมาจากต่างประเทศหรือเกิดขึ้นใหม่ในสังคมก็ได้ หากเป็นสิ่งที่มาจากต่างประเทศผู้ใช้ภาษาก็มักจะใช้คำจากภาษานั้นๆ โดยตรง คำประเภทนี้เรียกว่าคำยืม ในลักษณะ ทับศัพท์ หากต้องการใช้ภาษาไทยแทนคำดังกล่าวก็ผูกคำขึ้นใหม่ เรียกว่า ศัพท์บัญญัติ
            เมื่อสังคมไทยรับนับถือพุทธศาสนา เราไม่มีคำไทยใช้ จึงต้องใช้คำภาษาบาลีสันสกฤต โดยใช้อักษรไทยเขียน เช่น พุทธศาสนา ศาสดา บาป บุญ คุณ โทษ ศีลธรรม ฯลฯ เมื่อเราได้รับอิทธิพลทางด้านการปกครองจากเขมร เราก็นำคำเขมรเข้ามาใช้ โดยใช้อักษรไทยเขียน เช่นเดียวกัน เช่น เขนย เสวย สะอาด สะอาง สงบ เสงี่ยม ฯลฯ คำเหล่านี้ได้ดัดแปลงเข้าสู่ระบบเสียงของภาษาไทยเรียบร้อยแล้ว และเนื่องจากได้เข้ามาสู่ภาษาไทยนานแล้ว คนไทยจึงอาจจะไม่รู้สึกว่าเป็นคำซึ่งมีที่มาจากภาษาต่างประเทศ คำยืมในลักษณะทับศัพท์จึงมิใช่ของใหม่ในสังคมไทย
            ส่วนการบัญญัติศัพท์นั้นเกิดขึ้นจากความพยายามที่จะอธิบายให้คนไทยเข้าใจสิ่งใหม่เป็นภาษาไทย โดยเฉพาะศัพท์ทางวิชาการ โดยเริ่มมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 6 บุคคลผู้มีบทบาทสำคัญในเรื่องนี้ก็คือ พลตรีพระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์ หรือที่เป็นที่รู้จักกันในพระนามเดิมว่า หม่อมเจ้าวรรณไวทยากร วรวรรณ ศัพท์ที่ทรงบัญญัติขึ้นนั้นมักจะเรียกกันว่า ศัพท์พระองค์วรรณหลายศัพท์ยังใช้กันอยู่ เช่น สภาพคล่อง (liquidity) ภาพพจน์ (figure of speech) มลพิษ (pollution)
            ในปัจจุบันหน่วยงานของรัฐบาลซึ่งทำหน้าที่นี้ก็คือ ราชบัณฑิตยสถาน หลักเกณฑ์ในการบัญญัติศัพท์อาจกล่าวสรุปได้อย่างสั้นๆ ว่ามีอยู่ 3 ขั้นตอน คือ
1)      หาคำไทยที่เหมาะสมมาใช้ก่อน
2)      หากหาคำไทยที่เหมาะสมมาใช้ไม่ได้ให้ใช้คำบาลีสันสกฤตซึ่งมีใช้อยู่ในภาษาไทยแล้ว
3)      หากหาไม่ได้ทั้งคำไทยและบาลีสันสกฤตให้ใช้วิธีทับศัพท์
ปัญหาที่เกิดขึ้นในปัจจุบันนี้ก็คือศัพท์ใหม่ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจากภาษาอังกฤษได้ไหลบ่าเข้ามาสู่สังคมไทยอย่างรวดเร็ว จนไม่สามารถจะบัญญัติได้ทัน นอกจากนี้สังคมไทยก็เริ่มมีความคุ้นเคยกับภาษาอังกฤษจนสามารถเข้าใจได้ทันทีโดยไม่ต้องบัญญัติ จึงมีคำหลายคำที่ผู้ใช้ภาษานิยมคำทับศัพท์มากกว่า เช่น วิดีโอ (video) (ศัพท์บัญญัติคือ วีดีทัศน์) ส่วนคำว่า คอมพิวเตอร์ นั้น ติดอยู่ในสังคมไทยก่อนที่ราชบัณฑิตยสถานจะบัญญัติคำว่า คณิตกรณ์ ออกมา ผู้ใช้ภาษาจึงนิยมคำว่า คอมพิวเตอร์ มากว่า อย่างไรก็ตามคำว่า computer นี้ ราชบัณฑิตยสถานก็ได้ให้ตัวเลือกไว้ทั้งคำว่า คอมพิวเตอร์และ คณิตกรณ์เป็นการให้เสรีภาพแก่ผู้ใช้ภาษา
ด้วยแนวคิดเรื่องเสรีภาพในการเลือกใช้คำทับศัพท์/ศัพท์บัญญัติอันเป็นสิทธิพื้นฐานของผู้ใช้ภาษานี้เอง จึงไม่มีการบังคับเรื่องการใช้ศัพท์บัญญัติ มีแต่การแนะนำและชักชวนเท่านั้น เมื่อผู้ใช้เห็นด้วยก็ถือว่าประสบความสำเร็จ ดังเช่นที่ พลตรีพระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหมื่นนราธิปพงศ์ ประพันธ์ ทรงกล่าวไว้ว่า
“…ประสบการณ์อันพึงใจที่สุดของข้าพเจ้าเมื่อหลายปีมาแล้วก็คือ การเห็นคำ บริการ บนป้าในหมู่บ้านเล็กๆ ตามทางไปบางแสน ผลสำเร็จทันทีของคำ บริการ ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกประหลาดใจ และพึงใจอย่างยิ่ง.”

) การสร้างคำใหม่
            คำสร้างใหม่หมายถึงคำที่ผู้ใช้ภาษาคนใดคนหนึ่งหรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งสร้างขึ้นใหม่ โดยอาจจะดัดแปลงมาจากคำเก่า คำจากภาษาต่างประเทศ หรือคิดขึ้นใหม่ ก็ได้ เช่น กร๊วก โจ๋ ดี๊ด๊า ตะแหน่วๆ ติ๊งนั้ง เลิศสะแมนแตน วีน สยึมกึ๋ยส์ หน่อมแน้ม ไฮโซไฮซ้อ ฯลฯ
            คำเหล่านี้เพื่อเริ่มเกิดขึ้นก็มีเพียงความหมายเฉพาะ เข้าใจกันเพียงในกลุ่ม ต่อมาคำบางคำอาจจะเป็นที่แพร่หลายจนผู้ใช้ภาษาคนอื่นๆ ในสังคมเข้าใจและสามารถนำมาใช้สื่อสารกันได้ แต่บางคำอาจจะไม่ได้รับความนิยม และหายไปจากวงการสื่อสารในที่สุด

การใช้ประโยค

            ทุกภาษามีการใช้ถ้อยคำสำนวนตามกาลเทศะและบุคคล ภาวะนี้ในภาษาอังกฤษเรียกว่า register หรือ ทำเนียบภาษา ในทำเนียบภาษานี้มีระดับถ้อยคำตามความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและกลุ่มบุคคลที่สื่อสารกัน
            ระดับของการสื่อสารระหว่างบุคคลหรือกลุ่ม ได้แก่ผู้พูดหรือผู้เขียนส่งสารไปยังผู้ฟังหรือผู้อ่านเพียงคนหนึ่งหรือสองคน ผู้พูดหรือผู้เขียนส่งสารไปยังผู้ที่คุ้นเคย ผู้พูดหรือผู้เขียนส่งสารให้ผู้เป็นที่เคารพ ผู้พูดหรือผู้เขียนส่งสารที่เจตนาให้เป็นสารส่วนตัวหรือสำหรับสาธารณะ ฯลฯ สถานที่ที่ใช้สื่อเป็นที่ชุมนุนชนใหญ่ หรือกลุ่มเด็ก กาละหรือโอกาสที่มีการส่งสาร
            การใช้ประโยคเพื่อการสื่อสารในชีวิตประจำวันนั้น นอกจากรูปประโยคจะแตกต่างออกไปแล้ว การเลือกใช้ถ้อยคำสำนวรก็ยังต้องแตกต่างออกไปตามกาลเทศะและบุคคลอีกด้วย เช่น นิตยา กับ ทิพาวดี เป็นเพื่อนนักเรียนกันมาตั้งแต่ชั้นประถมศึกษา แต่ในปัจจุบัน นิตยา เป็นข้าราชการชั้นผู้น้อย ส่น ทิพาวดี เป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ซึ่งได้รับเครื่องราชอิสริยภรณ์ชั้นจตุตถจุลจอมเกล้า การสนทนาจึงต้องแตกต่างกันไปตามกาลเทศะ เช่น ในงานเลี้ยงเพื่อนนักเรียนเก่า นิตยา อาจจะทักทิพพวดีว่า สวัสดีจ้ะ เธอสบาดีหรือจ๊ะแต่ในที่ประชุมอันเป็นทางการ หรือในที่สาธารณะนิตยาควรจะต้องทักว่า สวัสดีค่ะ คุณหญิงสบายดีหรือคะ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น